หลังโควิด พัฒนาการของเด็กทั้งโลกถดถอย เพราะไม่ได้ไปเรียนนานกว่า 1-2 ปี การอยู่กับบ้านนานๆ พ่อแม่ส่วนใหญ่จะยื่นมือถือให้ เพื่อให้ลูกอยู่นิ่งๆ ไม่มารบกวน พัฒนาการของลูกจึงถูกกระทบกระเทือนรุนแรงมาก นักวิชาการพบว่า พัฒนาการด้านร่างกายของเด็กถดถอย เด็กขาดการเคลื่อนไหว กลายเป็นเด็ก Indoor Generation ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากออกไปไหน นอกจากดูจอมือถือ ด้านอารมณ์จิตใจ ไม่เบิกบาน ยิ่งเล่นมือถือ สมองก็ยิ่งเครียด เพราะกระบวนการทำงานของสมองและการเรียนรู้ของเด็กไม่พัฒนาไปตามธรรมชาติ ด้านสังคมก็ไปกันใหญ่ การสวมแมสก์ รักษาระยะห่าง ทำให้เด็กขาดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนวัยเดียวกัน กลายเป็นการขาดทักษะเข้าใจคนอื่น เห็นอกเห็นใจกันน้อยลง ก้าวร้าวต่อกันมากขึ้น และด้านสติปัญญา-การเรียนรู้ เด็กก็ไม่อยากเรียนรู้อะไร ไม่อยากไปโรงเรียน อยากอยู่กับมือถืออย่างเดียว บางคนเป็นหนักถึงขั้นสมาธิสั้นเทียม ออติสติกเทียม
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องรีบแก้ไข คือการฟื้นฟูพัฒนาการของเด็กโดยเร็ว แต่ไม่ใช่ด้วยการเร่งพาไปเรียนเขียนอ่าน อย่าเข้าใจผิดคิดว่าต้องชดเชยเวลาเรียนที่หายไป เพราะนั่นจะยิ่งทำให้เด็กเครียด และพัฒนาการกลับยิ่งถดถอย
สิ่งสำคัญคือ เริ่มต้นด้วยการชดเชยคืนความสุขให้เด็กก่อน เพราะความสุขจะนำมาซึ่งอยากเรียนอยากรู้ ลดความเครียดด้วยการดึงเอามือถือออกจากมือลูก (แรกๆอาจยาก แต่เด็กนั้นมีธรรมชาติชอบเล่นอยู่แล้ว หากจัดการเล่นที่สนุกสนาน ตรงกับความสนใจของเด็ก การเล่นก็จะเข้ามาแทนที่จอมือถือได้ในที่สุด)
กิจกรรมการเล่นที่สำคัญมากในช่วงเวลานี้สำหรับเด็กอนุบาล (รวมถึงเด็กประถม และมัธยมด้วย) คือ การเพิ่มกิจกรรมทางกาย หรือการเล่นกีฬาที่เหมาะกับวัย ทั้งครูและพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรพาเด็กออกไปเล่นกลางแจ้ง ให้เคลื่อนไหวร่างกายเต็มที่ ได้วิ่งเล่นในสนามกว้าง ในพื้นที่ธรรมชาติ ได้ปีนป่าย มุดไต่ลอด เด็กจะได้ปลดปล่อยความเครียดที่ซ่อนอยู่ลึกๆในใจออกไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองร่วมเล่นด้วย ให้กำลังใจ ทำให้บรรยากาศสนุก ไม่เล่นเอาแพ้เอาชนะ แต่กระตุ้นให้ได้ออกกำลัง ให้ออกซิเจนเข้าสู่สมอง ปอดได้ขยาย แขนขากล้ามเนื้อได้ทำงาน และจิตใจได้ร่าเริงเบิกบาน ทำอย่างนี้ไม่กี่เดือน ร่วมกับเพิ่มกิจกรรมการเล่นแบบอื่นๆ พัฒนาการของลูกก็จะกลับมาสมวัยตามปกติได้แน่นอน